B.1.1
อาการปวดหลัง ปวดบ่า ปวดแขน ปวดเข่า ปวดขา ปวดเอว
ปวดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ปวดข้อและกระดูก
"ปวดเหลือเกิน"
เรียนรู้+รักษาและป้องกันเชิงรุก
อ่านหนังสือ “เรียนรู้สู้กระดูกเสื่อม”
ISBN : 978-974-379-808-5 โดยนายแพทย์ ถาวร สุทธิยุทธ์
-------------------------------
ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว พบว่า
เป็นหนังสือที่ให้ Idea ในการรักษาและการป้องกันเชิงรุกของโรคกระดูกเสื่อม
ทุกหน้าเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ ใช้ได้ในชีวิตจริง
ผมได้คัดข้อความบางส่วนมาให้อ่าน
เพื่อนๆ พ่อแม่ ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย ควรอ่านนะครับ
-------------------------------
สารบัญ
ทำไมต้องเรียนรู้สู้กระดูกเสื่อม
ภาวะกระดูกเสื่อม
การรักษาภาวะกระดูกเสื่อมในปัจจุบัน
การคิดแก้ปัญหาแบบนอกกรอบ
กลไกการเกิดภาวะกระดูกเสื่อม
การรักษากระดูกเสื่อมแบบบูรณาการ
การนั่ง
การนอน หมอนสุขภาพ
อาชีพและการทำงาน
อาชีพและการใช้งานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
การพักผ่อนกับเครื่องเรือนของใช้
การจราจรกับบางมุมมองเกี่ยวกับรถที่ใช้
ปัญหาจากการเดินทาง
การขึ้นลงบันได
วัฒนธรรมที่ต้องปรับเปลี่ยน
งานคุณแม่
การป้องกันเชิงรุก
การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
วิธีบริหารเพื่อสุขภาพ
ความลับของอุบัติเหตุที่ไม่มีใครรู้
เคล็ดลับอายยุยืนอย่างมีความสุข
บทสรุป การเรียนรู้สู้กระดูกเสื่อม
ภาวะกระดูกเสื่อม
การรักษาภาวะกระดูกเสื่อมในปัจจุบัน
การคิดแก้ปัญหาแบบนอกกรอบ
กลไกการเกิดภาวะกระดูกเสื่อม
การรักษากระดูกเสื่อมแบบบูรณาการ
การนั่ง
การนอน หมอนสุขภาพ
อาชีพและการทำงาน
อาชีพและการใช้งานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
การพักผ่อนกับเครื่องเรือนของใช้
การจราจรกับบางมุมมองเกี่ยวกับรถที่ใช้
ปัญหาจากการเดินทาง
การขึ้นลงบันได
วัฒนธรรมที่ต้องปรับเปลี่ยน
งานคุณแม่
การป้องกันเชิงรุก
การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
วิธีบริหารเพื่อสุขภาพ
ความลับของอุบัติเหตุที่ไม่มีใครรู้
เคล็ดลับอายยุยืนอย่างมีความสุข
บทสรุป การเรียนรู้สู้กระดูกเสื่อม
-------------------------------
คำนำ
หนังสือ “เรียนรู้สู้กระดูกเสื่อม” เล่มนี้ เขียนขึ้นจากประสบการณ์ของผู้เขียนในฐานะที่เป็นศัลยแพทย์กระดูกและข้อ (Orthopedist) ที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยดังกล่าว ซึ่งได้พยายามศึกษาและค้นหามูลเหตุของการเสื่อมจากผู้ป่วยมานานกว่า 10 ปี…………… คำนำ
วัตถุประสงค์ในการทำหนังสือนี้ คือ ต้องการเผยแพร่แนวความคิดใหม่นี้ให้เป็นวิทยาทานแก่คนที่กำลังประสบปัญหาภาวะกระดูกเสื่อมด้วยความทุกข์ทรมานทุกคน เพื่อให้เข้าใจว่าการเสื่อมของกระดูกนั้นเกิดขึ้นใหม่ได้ทุกวัน ยังไม่มียาหรือวิธีรักษาที่ได้ผลจนหายขาด ช่วยได้เพียงแค่บรรเทาอาการที่ปลายเหตุเท่านั้น……………………
การแก้ไขที่ถูกคือ ต้องหาต้นเหตุและลงมือแก้ด้วยตนเอง ไม่สามารถไปพึ่งคนอื่นได้ เพราะเราไม่สามารถถอดกระดูกให้คนอื่นช่วยทำแทน การสู้กับภาวะกระดูกเสื่อมจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ใครทำใครได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดไว้
ในหนังสือเล่มนี้จึงเริ่มอธิบายตั้งแต่กลไกการเกิดกระดูกเสื่อม ความเกี่ยวข้องทางสรีระของกระดูก เพื่อให้เข้าใจเหตุผลในการดูแลและการแก้ไขรวมถึงการตรวจสอบเพื่อค้นหาสิ่งแวดล้อมที่ผิดในชีวิตประจำวันซึ่งเรามักเคยชินและมองข้าม แต่กลับกลายเป็นสาเหตุของกระดูกเสื่อมได้
ที่สำคัญ ความรู้เรื่องภาวะกระดูกเสื่อมอธิบายถึงเป้าหมายสูงสุดของการออกกำลังกายไว้ด้วย ทำให้เข้าใจวิธีออกกำลังกายอย่างถ่องแท้และรู้จักเลือกทำได้อย่างถูกต้อง ไม่เกิดโทษ รวมทั้งบอกถึงความลับที่ยังไม่มีใครรู้เกี่ยวกับอุบัติเหตุไว้ด้วยว่า ทำไมหลังการบาดเจ็บอาการปวดทางกระดูกจึงไม่ยอมหายเสียที โดยหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นคู่มืออ้างอิงสำหรับผู้ที่ต้องการต่อสู้กับภาวะกระดูกเสื่อมได้.......................
-------------------------------
ตัวอย่างเนื้อหาในหนังสือ
ตัวอย่างเนื้อหาในหนังสือ
หน้า 6 “ภาวะกระดูกเสื่อม” หมายถึงอะไร
มาจากคำว่า “Degenerative Musculoskeketal Disorder” เป็นกลุ่มอาการผิดปกติที่มีสาเหตุมาจากการเสื่อมของระบบโครงสร้าง (กระดูก) ครอบคลุมอวัยวะหลายอย่าง ทั้งเอ็น กล้ามเนื้อ และ ข้อ
ยกตัวอย่าง
อาการปวดเข่าที่รักษามาตลอด ตอนมาตรวจแรกๆอาจมีเพียงเอ็นอักเสบบางครั้งก็ปวดแบบปวดเส้น ต่อมาค่อยกลายเป็นข้ออักเสบ พอนานๆเข้าก็กลายเป็นข้อเสื่อม ถ้าไม่เข้าใจความต่อเนื่องก็คิดว่าการวินิจฉัยที่ต่างกันนั้นเป็นคนละโรคกัน แท้จริงเป็นโรคเดียวกันที่ยังไม่หายขาด แต่รุนแรงขึ้น
.............ต้องอ่าน
หน้า 34
ลักษณะการใช้งานบางอย่างดูเหมือนไม่มีอันตราย แต่ที่จริงแล้วกลับมีผลเสียมากถึงสองเท่า ทำให้ข้อยิ่งเสื่อมเร็วขึ้น
ตัวอย่างเช่น การนั่งยองๆทำงานกับพื้น
ผลเสียประการแรก การนั่งยองๆทำให้ข้อเข่าต้องงออย่างมาก แต่กระดูกหัวเข่าไม่ได้โค้งเข้ารูปเป็นวงกลมตลอดทางที่งอ เวลางอเข่ามากๆกระดูกส่วนที่กว้างก็ยิ่งไปกดเสียดสีกระดูกอ่อนในข้อมากขึ้น ส่งผลให้กระดูกสึกมากขึ้นโดยเฉพาะตอนที่ข้อยังบวมอยู่
ผลเสียประการที่ 2 การนั่งยองๆทำให้หลังงอ เวลาก้มทำงานบนพื้นยิ่งต้องงอมาก การงอหลังจึงไปดึงเส้นประสาทตามกลไกที่กล่าวมาแล้ว ทำให้ยิ่งปวดและเข้าสู่กลไกการเสื่อมมากขึ้นเรื่อยๆ
.............ต้องอ่าน
การนั่ง (หน้า 65)
ต้องอ่าน
การนอน (หน้า 78)
ต้องอ่าน
หมอนสุขภาพ (หน้า 89)
ต้องอ่าน
การนอนดูโทรทัศน์ (หน้า 109)
ต้องอ่าน
การนอนอ่านหนังสือ (หน้า 110)
แต่วิธีนอนอ่านหนังสือให้ถูกต้องนั้นทำได้ยากมาก ต้องนอนหงายมีหมอนเตี้ยหนุนใต้คอเพื่อให้คอตรงก่อน จากนั้นให้ยกหนังสือขึ้นมาจนอยู่ตรงหน้าของคนอ่านในระดับสายตามองเห็น การยกหนังสืออยู่ตลอดทำให้เมื่อยแขนมาก
การนอนตะแคงใช้หมอนสูงพอดีไหล่แล้วอ่านหนังสือก็อาจทำให้สายตาเอียงได้ แล้วยังต้องคอยควบคุมท่านอนตะแคงไม่ให้เอียงบิดหรือคว่ำอีก.............ต้องอ่าน
หน้า 138
1. การออกกำลังกายที่ดีต้อง...............ต้องอ่าน
หน้า 142
คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่า การออกกำลังกายที่ไม่ถูกวิธีนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาในระยะยาวได้เพราะทุกคนมักคิดว่า อุตสาห์ลงทุนลงแรง เสียเวลามาออกกำลังกายแล้ว น่าจะมีประโยชน์มากกว่ามีโทษ ซึ่งบางครั้งก็ไม่จริง ต้องเข้าใจเหตุผลที่ถูกต้องด้วย.............ต้องอ่าน
มาจากคำว่า “Degenerative Musculoskeketal Disorder” เป็นกลุ่มอาการผิดปกติที่มีสาเหตุมาจากการเสื่อมของระบบโครงสร้าง (กระดูก) ครอบคลุมอวัยวะหลายอย่าง ทั้งเอ็น กล้ามเนื้อ และ ข้อ
ยกตัวอย่าง
อาการปวดเข่าที่รักษามาตลอด ตอนมาตรวจแรกๆอาจมีเพียงเอ็นอักเสบบางครั้งก็ปวดแบบปวดเส้น ต่อมาค่อยกลายเป็นข้ออักเสบ พอนานๆเข้าก็กลายเป็นข้อเสื่อม ถ้าไม่เข้าใจความต่อเนื่องก็คิดว่าการวินิจฉัยที่ต่างกันนั้นเป็นคนละโรคกัน แท้จริงเป็นโรคเดียวกันที่ยังไม่หายขาด แต่รุนแรงขึ้น
.............ต้องอ่าน
หน้า 34
ลักษณะการใช้งานบางอย่างดูเหมือนไม่มีอันตราย แต่ที่จริงแล้วกลับมีผลเสียมากถึงสองเท่า ทำให้ข้อยิ่งเสื่อมเร็วขึ้น
ตัวอย่างเช่น การนั่งยองๆทำงานกับพื้น
ผลเสียประการแรก การนั่งยองๆทำให้ข้อเข่าต้องงออย่างมาก แต่กระดูกหัวเข่าไม่ได้โค้งเข้ารูปเป็นวงกลมตลอดทางที่งอ เวลางอเข่ามากๆกระดูกส่วนที่กว้างก็ยิ่งไปกดเสียดสีกระดูกอ่อนในข้อมากขึ้น ส่งผลให้กระดูกสึกมากขึ้นโดยเฉพาะตอนที่ข้อยังบวมอยู่
ผลเสียประการที่ 2 การนั่งยองๆทำให้หลังงอ เวลาก้มทำงานบนพื้นยิ่งต้องงอมาก การงอหลังจึงไปดึงเส้นประสาทตามกลไกที่กล่าวมาแล้ว ทำให้ยิ่งปวดและเข้าสู่กลไกการเสื่อมมากขึ้นเรื่อยๆ
.............ต้องอ่าน
การนั่ง (หน้า 65)
ต้องอ่าน
การนอน (หน้า 78)
ต้องอ่าน
หมอนสุขภาพ (หน้า 89)
ต้องอ่าน
การนอนดูโทรทัศน์ (หน้า 109)
ต้องอ่าน
การนอนอ่านหนังสือ (หน้า 110)
แต่วิธีนอนอ่านหนังสือให้ถูกต้องนั้นทำได้ยากมาก ต้องนอนหงายมีหมอนเตี้ยหนุนใต้คอเพื่อให้คอตรงก่อน จากนั้นให้ยกหนังสือขึ้นมาจนอยู่ตรงหน้าของคนอ่านในระดับสายตามองเห็น การยกหนังสืออยู่ตลอดทำให้เมื่อยแขนมาก
การนอนตะแคงใช้หมอนสูงพอดีไหล่แล้วอ่านหนังสือก็อาจทำให้สายตาเอียงได้ แล้วยังต้องคอยควบคุมท่านอนตะแคงไม่ให้เอียงบิดหรือคว่ำอีก.............ต้องอ่าน
หน้า 138
1. การออกกำลังกายที่ดีต้อง...............ต้องอ่าน
หน้า 142
คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่า การออกกำลังกายที่ไม่ถูกวิธีนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาในระยะยาวได้เพราะทุกคนมักคิดว่า อุตสาห์ลงทุนลงแรง เสียเวลามาออกกำลังกายแล้ว น่าจะมีประโยชน์มากกว่ามีโทษ ซึ่งบางครั้งก็ไม่จริง ต้องเข้าใจเหตุผลที่ถูกต้องด้วย.............ต้องอ่าน
-------------------------------
สุดท้ายนี้ผมขอย้ำว่า หนังสือเล่มนี้ ควรอ่านจริงๆ
เพราะทุกหน้าเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระความรู้ที่มีประโยชน์
และ.....เพราะความไม่มีโรคทั้งกายและใจนั้น เป็นลาภอันประเสริฐ
-------------------------------
สุดท้ายนี้ผมขอย้ำว่า หนังสือเล่มนี้ ควรอ่านจริงๆ
เพราะทุกหน้าเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระความรู้ที่มีประโยชน์
และ.....เพราะความไม่มีโรคทั้งกายและใจนั้น เป็นลาภอันประเสริฐ
-------------------------------
ผมซื้อให้ผู้ใหญ่หลายท่านอ่าน
หนังสือ "เรียนรู้ สู้กระดูกเสื่อม" พิมพ์ครั้งที่ 6
หนังสือ "เรียนรู้ สู้กระดูกเสื่อม" พิมพ์เป็นครั้งที่ 6 แล้ว
เนื้อหามีสาระอันเป็นประโยชน์ สามารถนำไปใช้ได้จริง
แต่ละบทสอนเราให้รู้และป้องกันโรคกระดูกเสื่อม
ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการใช้ท่าทางในชีวิตประจำวันไม่ถูกต้อง ฯลฯ เป็นโรคที่เราสร้างขึ้นเอง จะโทษใครก็คงไม่ได้
น้องๆที่อายุ 20+
ก็ควรอ่านไว้ เพื่อดูแลพ่อแม่
ส่วนคนวัย 30+ ก็อ่านไว้ ป้องกันตัวเอง ดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ให้ใช้ชีวิตผิดๆ หลังจากนี้อีก 20 - 30
ปี เราก็อายุ 50 - 60.....ตอนนั้น (2578) ประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัยแล้ว คนไทยส่วนใหญ่เป็นคนสูงวัย แล้วใครจะช่วยเรา ถ้าเราไม่ดูแลตัวเองตั้งแต่ตอนนี้
-------------------------------
เขียนโดย : รู้ไว้มีสุข
|
|
|
|
|
----------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------
No comments:
Post a Comment