รู้ไว้มีสุข – กรดไหลย้อย
1.3
แชร์ประสบการณ์.....รักษากรดไหลย้อน
ตอนที่ ๑/๓
คำแนะนำ ผู้เขียนขอแนะนำให้ผู้ที่เข้ามาหาความรู้บนเว็บไซต์ ให้ความสำคัญกับอาการและสาเหตุที่เป็นโรค เพื่อปรับวิถีชีวิตหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดโรค ส่วนผู้ที่ต้องการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ด้านสุขภาพ (Blogger ท่านอื่น) ผู้เขียนอยากให้ท่านให้ข้อมูลเบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยหรือการรักษาโรค เช่น อายุ เพศ อาชีพ (คร่าวๆ) สาเหตุของโรค พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน อาการของโรค ระยะเวลาที่เป็น เวลาในการรักษา ฯลฯ เพื่อข้อมูลที่ท่านแบ่งปันจะได้เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านที่จะได้นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยอื่นต่อไป
อายุ อาชีพการงาน และการใช้ชีวิตของผม
อายุ 30 ต้นๆ
อาชีพ โปรแกรมเมอร์ นอนดึก ทำงานใช้คอมพิวเตอร์อย่างหักโหมจนปวดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นมาตลอด จึงหยุดงานมาเรียนปริญญาโท ภาคปกติ
ไม่ใช่คนทานกาแฟทุกวัน ทานกาแฟเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง, ไม่ดื่มน้ำอัดลม, ดื่มแต่น้ำสะอาดไม่เย็น
โรคประจำตัว เป็นคนธาตุเย็นและธาตุอ่อน (ท้องอ่อน) ท้องเสียง่ายมาก
กรุ๊ปเลือด โอ
สาเหตุ และ อาการกรดไหลย้อนที่ผมเป็น
จากความเครียด และการรับประทานก่อนนอน เพราะเรียนปริญญาโทในสาขาที่ยากมาก ต้องอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนทุกคืน จึงอดที่จะรับประทานอาหารมื้อหนักกลางดึกไม่ได้
วันแรกที่ผมรู้ว่าป่วย จำได้ว่า เปิดเทอมไปได้ประมาณ 5 สัปดาห์ ผมเองก็ไม่รู้ตัวมาก่อนว่าเครียด เพราะตัวผมเองพอใจกับการเรียนที่เรียนเข้าใจ ทำแบบฝึกหัดได้ สอบ Quiz ได้เต็ม โดยไม่ได้ตระหนักว่ามันต้องแลกมาด้วยความขยัน อ่านหนังสือและทำแบบฝึกหัดทุกข้ออย่างหนัก การอ่านหนังสือดึก กินก่อนนอน ตื่นเช้า ไม่ได้ทานอาหารมื้อเช้าเพราะต้องเข้าเรียนแปดโมงเกือบทุกเช้า จึงทำให้ทานอาหารไม่ถูกหลัก สุขภาพของผมจึงแย่ลงโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งวันหนึ่งผมถ่ายท้อง ท้องเสีย อุจจาระเหลวตอนสายที่มหาวิทยาลัย ทั้งๆที่ไม่ได้ทานของสกปรกเลย ทำให้ผมรู้ว่า บางครั้งคนเราเครียด แต่ไม่รู้ตัวว่าเครียด สุขภาพจึงแย่ลงโดยไม่รู้ตัว
หลังจากวันนั้น ผมก็รู้ว่า ร่างกายตนเอง ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ แต่ก็ยังไม่ไปหาหมอ เพราะรู้ตัวเองมาแต่ก่อนแล้วว่า ทุกครั้งที่เครียด จะถ่ายท้อง ท้องเสีย จึงไม่ได้คิดหรือกังวลอะไรมาก
ดังนั้นผมจึงไม่ได้ระวังในการทานอาหาร หรือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม คือ ยังทานอาหารปกติ ไม่ได้เคี้ยวอาหารช้าๆให้ละเอียด ไม่ได้ออกกำลังกาย และยังรับประทานอาหารช่วงดึก ก่อนนอนเพราะต้องอ่านหนังสือ และก็ยังคงเครียดเรื่องเรียนมากขึ้น หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ เริ่มมีอาการแสบท้อง ก็คิดว่าใกล้สอบ เครียด น้ำกรดในกระเพาะอาหารคงออกมามาก จึงไปหาหมอ หมอก็ถามว่า ทานก่อนนอนไหม .... ท้องผูกบ้างหรือเปล่า ผมจึงบอกว่า ผมมีอาการท้องผูก ทานก่อนนอน อาการช่วงนี้ยังแค่แสบท้อง ยังไม่มีอาการจุกที่คอ หรือ ท้องอืด ก็เพียงรับยาลดกรดจากหมอไปทาน
ความเครียดในการเรียนของผมยังไม่ลดลง แต่เพราะความเข้าใจผิด ทำให้ไปกินอาหารที่ไม่เหมาะกับตัวเรา พอดีเห็นขนมบังแซนวิซวางขายใต้สะพานลอย ผมต้องเข้าเรียนแปดโมงเช้า ถ้าไม่ได้ทานข้าวเช้าจะแสบท้อง และคิดว่าขนมบังคงช่วยดูดซับกรดได้ จำใจต้องซื้อมาทาน บางวันก็ทานเม็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทองเพราะคิดว่า มันย่อยยากคงจะไปซับกรด ซับน้ำย่อยไม่ให้แสบท้อง บางครั้งก็ทานนม แต่อาการโดยรวมกลับไม่ดีขึ้น กลับแย่ลงกว่าเดิม (ทั้งๆที่ดื่มน้ำกะเพราช่วยแล้ว) คือ มีอาการท้องอืด จุกที่คอ แน่นหน้าอกเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นจึงถามพี่สหายธรรมที่เป็นโรคนี้ เขาแนะนำให้ทานผักต้ม และอาหารอ่อนย่อยง่าย + ขมิ้นชัน ไม่ให้ทานอะไรทั้งนั้น จึงทำให้อาการผมทุเลาลง พอผมหายเครียด.....ผมอาการดีขึ้น ก็หายจากโรคนี้ครับ ใช้เวลาป่วยประมาณ 3 เดือนและค่อยๆใช้เวลาดูแลจนอาการดีขึ้น 3 เดือน และกว่าจะหายสนิทใช้เวลาอีก 3 เดือน
อาการกรดไหลย้อนที่ผมเป็น
1. ไม่เกิน 30 นาทีหลังตื่นนอน ก่อนเวลารับประทานอาหารในแต่ละมื้อ และ ก่อนนอน หลัง 21.00 น. ผมแสบท้องประจำ บางครั้งปวดท้องเหมือนลำไส้ถูกบิด
2. จุกแน่นที่คอ รำคาญ รู้สึกเหมือนมีก้างหรือเสมหะติดคอ
3. เรอตลอดวัน เป็นก้อนลมเล็กๆ โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ, หลายครั้งรู้สึกอึดอัด มีลมในท้อง แต่ไม่ออกมาเป็นเรอ, บางครั้งก็เรอเหม็นเปรี้ยว และไม่ผายลมเลย
4. ท้องผูก ท้องอืด ท้องป่อง อาหารไม่ย่อย
5. แน่นหน้าอก แสบร้อนกลางทรวงอกโดยเฉพาะเวลาเครียดและหลังรับประทานของหวาน
6. ทานอาหารแล้ว.....รู้สึกไม่อิ่ม รู้สึกหิวตลอดเวลา (ทรมานมาก) อยากทานอาหารเข้าไปอีก หิวเร็ว หิวง่าย ป่วยจากกรดไหลย้อน จนจำไม่ได้ว่า ตนเองทานอะไรแล้วแสลง หรือ เคยทานอาหารปริมาณเดิมเท่าไรในแต่ละมื้อในแต่ละวัน
7. อยากทานอาหารทุกอย่าง เห็นอะไรก็อยากทานไปหมด อาหารที่ไม่เคยกินหรือไม่ชอบทาน ก็อยากทาน โดยเฉพาะของหวาน และ อาหารแสลง เช่น ขนมเปี๊ยะ น้ำหวาน ฯลฯ
8. รู้สึกคลื่นไส้กระอักกระอ่วน หลังรับประทานอาหารหรือท้องว่างโดยเฉพาะของหวานและกาแฟ
9. ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะก่อนนอน และตื่นกลางดึกขึ้นมาไอแห้งๆ
10. ตื่นนอนปากเหม็น ขมคอนิดหน่อย ถ้ากินแป้งมากในมื้อเย็น ตอนเช้าจะปากเหม็นเหมือนกลิ่นแป้งบูด บางครั้งทานเลือดต้มในตอนเย็น ตื่นนอนก็ปากเหม็นกลิ่นเลือดต้ม
ประสบการณ์เกือบตาย
ท้องอืด อันตรายจากของหวาน ทำให้อาการกรดไหลย้อนอื่นๆเพิ่มขึ้น
ช่วงที่ผมป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมจะทานอาหารกลางวันแต่ไม่อยากออกนอกบ้านไปซื้ออะไรมาทาน เห็นในตู้กับข้าวมีขนมบัวลอยไข่หวาน 2 ถุงกับลอดช่องอีก 1 ถุง ที่คุณป้าข้างบ้านให้มา ผมจึงทานขนมเป็นอาหารกลางวันจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่น้ำกะทิ
ปรากฏว่า วันนั้นท้องอืดรุนแรง รู้สึกคอแห้งมาก ดื่มน้ำลงไปก็รู้สึกราวกับว่าน้ำไม่ได้ผ่านลำคอเลย และท้องก็ป่องขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแสดงว่า ร่างกายของผมไม่ดูดซึมอะไรเลย ขนาดผิวหนังยังแห้งแตก ลอกเป็นขุย ทั้งๆที่ไม่ใช่ฤดูหนาว และทั้งๆที่ผมดื่มน้ำเข้าไปขนาดนั้นผมยังคงคอแห้งและกระหายน้ำเช่นเดิม จนกระทั่งถึง 16.00 ได้ทานยาช่วยย่อยอาหารไป 2 เม็ด จึงรู้สึกดีขึ้น
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสังเกต คือ ผมไม่ปัสสาวะตั้งแต่ 10.00 น.ไปปัสสาวะอีกครั้งตอน 18.00 น.หลังจากทานยาช่วยย่อยอาหารไปแล้ว ผมรู้สึกได้เลยครับว่า ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ก็ทำให้คนเราตายได้เช่นกัน จากประสบการณ์ครั้งนี้ ผมรู้ว่า อาหารหวาน ทำให้ท้องอืดอย่างแน่นอน
แชร์ประสบการณ์.....รักษากรดไหลย้อน
ตอนที่ ๒/๓
อาหารแสลงและอาหารที่เหมาะกับโรคกรดไหลย้อน
จากประสบการณ์ส่วนตัว
อาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยกรดไหลย้อน
แนวทางการรับประทานอาหารที่ช่วยฟื้นฟูระบบย่อยอาหารจากอาการกรดไหลย้อน คือ บริโภคอาหารที่ไม่เพิ่มภาระให้กับระบบย่อยอาหาร ดังนั้นจึงเป็นอาหารประเภท
1. อาหารรสจืด ที่ไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหารและลำไส้
2. อาหารอ่อน ย่อยง่าย ร้อน สุกใหม่ รวมไปถึงน้ำอุ่นด้วย เพราะย่อยง่าย ช่วยย่อย ช่วยไม่ให้ท้องอืด
3. อาหารที่มีกากใยสูง ช่วยในการระบาย ทำความสะอาดของเสียและสิ่งตกค้างในลำไส้ เช่น ผักต้ม
4. อาหารที่ไม่มีฤทธิ์เป็นกรด อาหารที่เป็นกรดได้แก่ ผักสด โดยเฉพาะผักไฮโดรโปรนิค ซึ่งมีสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่สูงกว่าผักปลูกทั่วไป น้ำอัดลม หรือ แม้แต่น้ำย่อยในกระเพาะอาหารอันเนื่องมาจากการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา กรดเหล่านี้จะทำลายจุลินทรีย์ในลำไส้ มีส่วนทำให้ท้องอืด กระเพาะและลำไส้ย่อยอาหารได้ช้า และอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดบางอย่างก็ทำให้น้ำย่อยทำงานได้ไม่เต็มที่
5. ทานอาหารที่่ไม่ผ่านกรรมวิธีการผลิต เช่น ถ้าต้องการได้คาร์โบไฮเดรต ผมเลือกทานข้าว ไม่ทานก๋วยเตี๋ยวหรือขนมจีน ถ้าต้องการได้โปรตีน ทานหมูทอด หมูต้ม ดีกว่าไส้กรอก ลูกชิ้น
อาหารแสลงกับโรคกรดไหลย้อน
1. น้ำตาล ของหวาน น้ำตาลเทียม น้ำตาลไอซิ่ง ช็อกโกแลต น้ำอัดลมทุกชนิด น้ำหวานทุกชนิด ไอศกรีม ฯลฯ เช่น ขนมผิง ขนมบัวลอยไข่หวาน ลอดช่องน้ำกะทิ ปลากริมไข่เต่า ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เป็นต้น ของหวานเหล่านี้ทำให้ผนังลำไส้บวม ท้องอืด รู้สึกจุกที่คอหลังรับประทาน
2. อาหารที่มีส่วนผสมของผงฟูทำขนมปัง เช่น ขนมปัง ขนมเค้ก โดนัท พาย คุกกี้ แยม ขนมถ้วยฟู ขนมโตเกียว ขนมเครปญี่ปุ่น ขนมเบื้อง ขนมโมจิ ขนมรังผึ้ง ฯลฯ อาหารเหล่านี้มียีสต์ หากระบบย่อยอาหารไม่ดี เกิดการหมักของแป้งและยีสต์เหล่านี้ ซึ่งก่อให้เกิดกรดและลมในลำไส้ ทำให้ผนังลำไส้บวม แน่นท้อง ท้องอืด อาหารไม่มีการเคลื่อนไหว อาหารไม่ย่อยได้ ยิ่งมียีสต์มาก ยิ่งทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนมาก เช่น ขนมปังโฮลวีตทำให้เกิดอาการมากกว่าขนมปังธรรมดาเสียอีก หากรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของผงฟูเหล่านี้เข้าไป จะไม่ก่อให้เกิดอาการกรดไหลย้อนหลังรับประทานอาหารทันที แต่จะก่อให้เกิดอาการเมื่ออาหารเหล่านี้เคลื่อนตัวไปสู่ลำไส้
3. กาแฟ ชา ชาเชียว ชานมไข่มุก น้ำเย็น ทำให้ท้องอืด ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำอุ่นหลังรับประทานอาหาร เพื่อช่วยย่อยอาหาร
4. นมสด นมเปรี้ยว และอาหารที่มีส่วนประกอบของนม ร่างกายบางคนอาจไม่มีน้ำย่อยๆอาหารประเภทนี้อยู่แล้ว และถึงแม้บางคนจะมีแต่ช่วงที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ปริมาณกรด(ในกระเพาะอาหาร)มีมากกว่าปกติ ทำให้น้ำย่อยทำงานได้ไม่เต็มที จึงไม่ควรรับประทานนม นมเปรี้ยวในช่วงนี้ เพราะจะทำให้ท้องอืด
น้องชายคนหนึ่ง อายุประมาณ 28 ปี ดื่มนมก่อนนอนเป็นประจำ ปรากฏว่า ช่วงหลังๆมีอาการท้องอืดในตอนเช้า ท้องป่องเหมือนนมที่ดื่มเข้าไปก่อนนอนไม่ย่อย แต่เมื่อเขาเลิกดื่มนมก่อนนอน ในวันที่ 3 ก็ไม่มีอาการท้องอืดอีก ซึ่งทำให้เขารู้ว่า ร่างกายของเขาเริ่มย่อยนมไม่ได้
ไม่ควรเข้าใจผิดว่า การดื่มนมช่วยเคลือบกระเพาะอาหารไม่ให้ถูกกรดในกระเพาะอาหารทำลาย แท้จริงแล้วกระเพาะอาการของเราทนกรดได้อยู่แล้ว แต่ลำไส้ไม่สามารถทนกรดได้ ยิ่งนมเป็นโปรตีนมีความเป็นกรดในตัว ถ้าร่างกายไม่สามารถย่อยได้ก็จะทำให้เกิดการหมัก เกิดแก๊สในท้อง และท้องอืดเพราะนมได้
5. อาหารที่มีไขมันสูง เครื่องในสัตว์ เช่น เลือด ตับ หัวใจ ไส้ ฯลฯ และอาหารทอดทุกชนิด เช่น ไส้กรอก แฮม ปาท่องโก๋ ปลาทอด ทอดมัน กล้วยแขก ยิ่งทอดกรอบๆยิ่งมีน้ำมันมาก อาหารเหล่านี้ย่อยยาก ทำให้ท้องอืด รวมถึงเมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทองด้วยเช่นกัน
6. อาหารที่มีปริมาณแป้งสูง เช่น ขนมเปี๊ยะ ขนมถั่วตัด ฯลฯ อาหารเหล่านี้ทำให้แน่นท้อง จุก ย่อยยาก อีกทั้งยังมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ
7. อาหารที่ทำมาจากแป้งหมัก เช่น ขนมจีน ไม่ควรทาน
8. ห้ามทานผักสด ในมื้อเย็นเด็ดขาด และช่วงที่เป็นหนักไม่ควรทานผักสดอย่างยิ่ง เนื่องจากผักสดมีฤทธิ์เป็นกรด ทำให้ท้องอืดได้
9. ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือไม่ควรทาน เพราะย่อยยาก
10. ถั่วต่างๆไม่ควรทาน โดยเฉพาะถั่วแดง ย่อยยากมาก ทานได้เฉพาะถั่วเขียวต้มสุก
11. น้ำเต้าหู้ น้ำนมถั่วเหลืองไม่ควรทาน เพราะย่อยยาก
12. มื้อเย็น ไม่ควรทานก๋วยเตี๋ยว หรือกวยจั๊บน้ำข้นเด็ดขาด เพราะก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่ย่อยยากกว่าข้าวต้ม อีกทั้งน้ำซุปอาจมีเกลือและผงชูรสมาก
13. อาหารเผ็ด อาหารเปรี้ยว อาหารรสเค็มไม่ควรทาน เพราะทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยเฉพาะพริก และ น้ำส้มสายชู จึงควรทานแต่อาหารรสจืด
14. หากคุณจำเป็นต้องทานอาหารเสริม ให้ทานตอนเช้า เพราะอาหารเสริมแทบทุกประเภทมีฤทธิ์เป็นกรด ย้ำอีกครั้งก็คือ สารอาหาร วิตามิน เกลือแร่ที่มีปริมาณสูงนั่นแหละที่มีฤทธิ์เป็นกรด โดยเฉพาะวิตามินซี ถ้าเป็นไปได้ให้งดรับประทาน
15. ผลไม้และน้ำผลไม้ทุกชนิด โดยเฉพาะผลไม้ที่มีปริมาณน้ำตาลสูง เช่น เงาะ ลำไย แก้วมังกร แตงโม ฯลฯ และ ทุเรียนซึ่งมีไขมันสูง รวมถึงมะเขือเทศ ซึ่งเป็นกรด ทำให้เกิดลมในท้อง และฝรั่ง ซึ่งทำให้ท้องอืด ช่วงที่ป่วย ผมไม่ทานมะเขือเทศและฝรั่งเลย เพราะเมื่อผมทานเข้าไปแล้ว อาการของผมนอกจากจะไม่ดีขึ้น ยังแย่ลงมากขึ้นด้วยครับ
อีกประการหนึ่ง น้ำผลไม้ไม่มีกากหรือใยอาหาร จึงมีน้ำตาลในปริมาณสูง ลองสังเกต ข้อมูลโภชนาการ (Nutrition Facts) ที่ติดอยู่ข้างผลิตภัณฑ์ดูซิครับ
16. ของหมักดอง ผลไม้หมักดองต่างๆ (รสเปรี้ยวทั้งนั้น) เช่น มะม่วงแช่อิ่ม ฯลฯ อาหารเหล่านี้มีรสเปรี้ยว มีความเป็นกรดสูง ซึ่งเพิ่มความเป็นกรดในการย่อยอาหาร ทำให้ท้องอืด
ตัวอย่างอาหารที่ผมทาน เพื่อรักษาโรคกรดไหลย้อน
1. ช่วงที่อาหารหนัก แสบท้อง รู้สึกคลื่นไส้ เบื่ออาหาร จุกที่คอ แสบร้อนทรวงอก ท้องอืดทั้งวัน ผมรับประทานแต่อาหารอ่อน ย่อยง่าย โดย
มื้อเช้าทาน โจ๊ก+หมูต้ม+ผักต้ม
มื้อกลางวันข้าว+แกงจืด+ผักต้ม
มื้อเย็นกลับมาทานที่บ้าน ทานเพียงรองท้อง คือ ทานเพียงข้าวต้ม+หมูต้ม+ผักต้ม
2. ช่วงที่อาการดีขึ้น หายแสบท้อง แต่ยังคงมีอาการท้องอืดหลังรับประทานอาหาร จุกที่คอ แสบร้อนทรวงอกบ้าง
ผมรับประทาน มื้อเช้า ข้าวสวย+หมูต้ม+ผักต้ม+แกงจืด
มื้อกลางวัน ก๋วยเตี๋ยวน้ำใส+หมูต้ม+ผักต้ม
มื้อเย็น ทานเพียงรองท้อง คือทานเพียงข้าวต้ม+หมูต้ม+ผักต้ม
3. ช่วงที่อาการดีขึ้น ท้องอืดเฉพาะมื้อเย็น แน่นหน้าอกนิดๆ และมื้อที่ทานอาหารแสลง
ผมรับประทาน มื้อเช้า อาหารปกติ+ผักสด+ผักต้ม แต่ยังคงเว้นอาหารแสลง
มื้อกลางวัน อาหารปกติ+ผักต้ม แต่ยังคงเว้นอาหารแสลง
มื้อเย็น ทานเพียงข้าว+หมูต้ม+ผักต้ม
4. ปัจจุบัน ผมทานอาหารแสลงเหล่านี้น้อยมาก มื้อเย็น ทานแต่สลัดผลไม้+ผัก หรือไม่ก็สุกี้ ราดหน้า หรือไม่ก็ข้าว+น้ำพริก+ผักต้ม หรือกระเพาะปลา ส่วนมื้อเช้าและกลางวัน ทานปกติสลับสับเปลี่ยนกันไป
ปล. โจ๊ก ข้าวต้ม หมูต้ม ผมทำทานเองทั้งหมด ไม่ได้ซื้อจากร้านครับ เพราะเขามักจะใส่ผงชูรส หรือน้ำตาลลงในโจ๊กเพื่อให้มีรสชาติอร่อย แต่ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน
แชร์ประสบการณ์.....รักษากรดไหลย้อน
ตอนที่ ๓/๓
อาการกรดไหลย้อนดังต่อไปนี้ ผมรักษาอย่างไร
ท้องอืด แน่นท้อง
1. แคปซูลขมิ้นชัน ขนาด 400 มก. ต่อ 1 แคปซูล รับประทานหลังอาหาร 15 - 30 นาที ปริมาณรับประทานตามฉลาก
2. น้ำกะเพรา ดื่ม 1 – 2 แก้ว (แก้วละ 250 มล.) หลังรับประทานอาหาร 15 – 30 นาที
ประโยชน์ของขมิ้นชันและน้ำกะเพรา จะช่วยเร่งการย่อยอาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้ง และน้ำตาล ช่วยขับลม ลดกรด ลดอาการแน่นท้อง และช่วยบรรเทาอาการอักเสบของกระเพาะอาหารและลำไส้ได้อีกด้วย
ผมรักษาโดยทานขมิ้นชันทุกวัน ทุกมื้อ รวมทั้งก่อนนอนครับ (ตามฉลาก) เพื่อช่วยย่อยอาหารและลดการอักเสบของลำไส้ บางครั้งก็ดื่มน้ำกะเพราร่วมด้วย
3. น้ำขิงต้ม สำหรับผมเป็นคนธาตุเย็น ต้องดื่มน้ำขิงแช่เย็นใส่น้ำแข็ง และน้ำกะเพราร้อน ช่วงที่ป่วยเคยดื่มน้ำขิงร้อน ผมรู้สึกระคายเคืองกระเพาะอาหาร แต่ถ้าดื่มน้ำขิงแช่เย็น ผมรู้สึกสบายท้องมากๆ ส่วนน้ำกะเพรา สำหรับผมต้องเป็นเครื่องดื่มร้อน ถ้าผมดื่มน้ำกะเพราเย็น ผมจะท้องอืด
ท้องผูก
1. น้ำมันมะพร้าวธรรมชาติสกัดเย็น (Virgin Coconut oil) รับประทานก่อนนอน ปกติรับประทาน 1 ช้อนโต๊ะ อาการหนัก 2 ช้อนโต๊ะแล้วดื่มน้ำอุ่นค่อนข้างร้อน 1 แก้ว (250 มล.) ตาม
ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นคือ ช่วยฆ่าเชื้อโรคในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ และช่วยระบบขับถ่าย ผมลองทานแล้วครับ ช่วยถ่ายท้องได้ดีขึ้นโดยที่ไม่ทำให้อ้วนขึ้น และไม่รู้สึกเหมือนท้องเสียหรือมีอุจจาระเหลวเลยครับ ถ้ามีอาการถ่ายท้องแบบท้องเสียหรืออุจจาระเหลว ให้ลดปริมาณน้ำมันมะพร้าวลง ผมเคยทานน้ำมันมะพร้าว หลังอาหารทั้ง 3 มื้อ ปรากฏว่า ปวดอุจจาระก่อนเข้านอนและถ่ายเหลว
2. ทานผักต้มกับอาหารทุกมื้อ ช่วยให้มีกากใยสูง รับประทานควบคู่กับน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น จะช่วยให้ขับถ่ายสะดวก
อาเจียน และรู้สึกแสบร้อนที่ลำคอเพราะฤทธิ์ของกรดที่อาเจียนออกมา
น้ำมันมะพร้าวธรรมชาติสกัดเย็น รับประทาน 1 – 2 ช้อนโต๊ะโดยอม แล้วกลั้วคอเหมือนใช้น้ำยาบ้วนปาก –ประมาณ 1 นาที จึงบ้วนทิ้ง หลังจากนั้นล้างปากด้วยน้ำสะอาด แล้วจึงทานน้ำมันมะพร้าวอีกครั้ง โดยกลั้วคอด้วยน้ำมันมะพร้าวนั้นแล้วกลืนลงไป ให้น้ำมันไหลช้าๆลงไปเคลือบคอและหลอดอาหารจนทั่ว ไม่ต้องดื่มน้ำอุ่นตาม จะช่วยลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อโรค บรรเทาอาการแสบร้อนช่วยลดอาการแสบคอได้มากครับ
แสบท้อง ปวดท้องเหมือนลำไส้ถูกบิด (อาการเกิดหลังตื่นนอน ในระหว่างมื้ออาหาร และก่อนนอน)
1. สาหร่ายเกลียวทอง ยี่ห้อ GD1 อมเหมือนอมลูกอม แล้วค่อยๆกลืนลงไป
2. เม็ดแมงลักต้ม เคี้ยวให้ละเอียดก่อนแล้วค่อยกลืนลงไป
3. กล้วยน้ำว้าสุก เคี้ยวให้ละเอียดก่อนแล้วค่อยกลืนลงไปเช่นกัน
4. น้ำกะเพรา จิบเล็กน้อย เพื่อปรับสมดุลกรดในกระเพาะอาหาร (เหมาะสำหรับคนธาตุเย็น)
แน่นหน้าอก-จุกที่คอ
งดชา กาแฟ เพราะสารคาเฟอีนทำให้กล้ามเนื้อหูรูดผิดปกติ เสื่อม อ่อนแอ ทำให้แน่นหน้าอก จุกที่คอ และท้องอืด เพราะทำให้ลำไส้บีบไล่อาหาร และย่อยอาหารได้ช้าลง ผมเพิ่งทราบว่า สำหรับบางคนนั้น หากเขาทานกาแฟเข้าไป เขาจะท้องเสียทันทีครับ อีกอย่างหนึ่งตัวชา กาแฟก็มีฤทธิ์เป็นกรดอยู่แล้ว
แสบหน้าอก
งดทานน้ำตาล อาหารที่มีน้ำตาล ผลไม้ที่มีน้ำตาลทุกชนิด อาหารที่มีไขมันสูง เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน อาหารเหล่านี้หากย่อยไม่หมด จะทำให้แสบหน้าอกครับ ไม่เชื่อลองทานทองหยอดสัก 5 เม็ดซิครับ
จุกที่ลิ้นปี่
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น มะเขือเทศ ฝรั่ง ผักสดใบเขียวบางชนิด
อาการร้อนท้องภายนอก
แนะนำให้ทาท้องด้วยน้ำมันตะไคร้หอม คุณแม่ผมใช้อยู่ อาการร้อนท้องทุเลาลงจริง ซึ่งทำให้คุณแม่ผมประทับใจมากครับ ถึงขนาดถามผมว่า มีน้ำมันตะไคร้หอมอีกไหม อย่าเพิ่งเอาไปให้คนอื่น เก็บไว้ให้แม่ใช้นะ เผื่อแม่รู้สึกร้อนท้องอีก
เครดิต : พี่แตน + พี่โก๋ + พี่อ้อย และสหายธรรมท่านอื่นๆ
เขียนโดย : รู้ไว้มีสุข (กิ๊ก)
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น
ช่วยเรื่องท้องผูก
ไฟเบอร์ธรรมชาติ - Psyllium Husk
ขจัดสิ่งตกค้างในลำไส้ ช่วยเรื่องท้องผูก
น้ำใบเตยผสมใบย่านางสกัด
หัวน้ำด่างเข้มข้น สำหรับผสมดื่ม (น้ำอัลคาไลน์)
พี่โก้ เธออายุครบ 58 ปี ในปีนี้ (2556) เดิมเคยเป็นโรคกรดไหลย้อน จากความเครียดที่พี่ชาย ซึ่งเป็นญาติที่เหลือเพียงคนเดียวตาย แต่หลังจากที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี เธอก็หายเป็นปกติ
ต่อมา เพราะความบังเอิญที่เธอไปทานสลัดบูดเข้า จึงเป็นโรคกรดไหลย้อนนี้ขึ้นอีกครั้ง โดยมีอาการท้องอืดบ้างเล็กน้อย รู้สึกท้องไส้ไม่ดี ปั่นป่วนเล็กน้อยแต่รู้สึกได้ แม้อาการจะไม่หนักเหมือนครั้งก่อน แต่เหตุที่เธออายุมาก อาการเหล่านี้ก็ยังไม่หายสนิท แม้ว่าจะดูแลตัวเองทั้งในเรื่องการรับประทานยา และ การทานอาหารสุขภาพ (ผักต้ม, อาหารอ่อนย่อยง่าย) หลีกเลี่ยงอาหารแสลงแล้วก็ตาม
เวลาผ่านไปนานเกือบ 1 ปีแล้ว แต่อาการของพี่โก๋ก็ยังคงไม่หายสนิทดี มีอาการเช่นนี้ตลอด.....มากบ้างน้อยมาก แต่หลังจากได้ดื่มน้ำอัลคาไลน์ ปัจจุบันนี้ เรียกได้ว่า หายเป็นปกติ
ข้อควรระวัง มีงานวิจัยที่ใช้น้ำด่าง........
ซึ่งจะใช้ได้ผลเฉพาะกลุ่มมะเร็งกระเพาะอาหาร หรือ กลุ่มติดเชื้อในกระเพาะอาหารเท่าน้ัน ปัญหาที่พบ คือ ยิ่งดื่มน้ำด่างมาก พยาธิบางชนิดที่ร่างกายเคยทำลายได้ในระบบทางเดินอาหาร ก็จะทำไม่ได้ แล้วสุดท้ายเราก็จะป่วยด้วยตัวพยาธิ
ความเห็นของผม : ดื่มน้ำด่างได้ในระยะสั้นๆ ไม่ควรดื่มเป็นประจำเหมือนน้ำเปล่า
ผมก็ให้คุณแม่ดื่มน้ำด่างนี้ด้วยเช่นกัน เพราะคุณแม่เคยทานยาฆ่าเชื้อเพื่อรักษาโรคกรดไหลย้อน คุณแม่บอกว่า อาการดีขึ้น
ไม่เครียดอย่างนี้..... หายกรดไหลย้อน....แน่
เผยแพร่วันที่ 20 มีนาคม 2555 บนเว็บ bloggang
ใครที่ร้อนในบ่อย ท้องผูกบ่อย หรือ กินแล้วนอนบ่อย.......
No comments:
Post a Comment