รู้ไว้มีสุข – กรดไหลย้อย
1.4
รักษาโรคกรดไหลย้อน
กับ
สัดส่วนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
หลังจากที่ผมหายเครียด จากที่เคยแสบท้องหลังตื่นนอน ปวดท้องเหมือนลำไส้ถูกบิด หรือแม้แต่คลื่นไส้หลังรับประทานอาหาร อาการเหล่านี้แทบจะหายไป ส่วนอาการท้องอืด ท้องผูกค่อยยังชั่วขึ้น ผมรู้สึกดีขึ้นมาก ช่วงนี้จึงเป็นเวลาสำคัญที่จะรักษาโรคกรดไหลย้อนให้หายขาด แต่เพราะผมทานอาหารไม่ถูกสัดส่วน คือ ทานแป้งมากกว่าโปรตีน ตัวอย่างเช่นในมื้อเช้า ผมก็ทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่ายตามปกติ เช่น โจ๊ก ลูกเดือย ถั่วแปบ โดยที่ในโจ๊กมีเนื้อหมูในโจ๊กเพียง 5 ก้อนเล็กๆเท่านั้น ผมจึงยังทุกข์ทรมานกับโรคกรดไหลย้อนทั้งๆที่ตั้งใจรักษาให้หายขาด
น้อยคนนักที่จะสังเกต....ว่าร่างกายคนเราจะแสดงอาการอยากน้ำตาลผิดปกติหากได้รับน้ำตาลมากเกินไป อาหารต่างๆ เช่น ข้าว แป้ง ขนมปัง และ น้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้ ฯลฯ เมื่อทานเข้าไปจะย่อยเป็นน้ำตาล และหากปริมาณน้ำตาลนี้มากเกินไป สมองจะสั่งร่างกายให้อยากอาหาร เพื่อต้องการน้ำตาลเพิ่มอีก เชื่อไหมว่า หลังทานอาหารเช้านั้น ผมมีอาการอยากอาหารเหมือนกับคนติดยาเสพติด คือ หิวเร็ว หิวมาก อยากอาหารหวานๆทุกอย่าง ทนไม่ได้ถึงกับกินน้ำตาลเปล่าๆ มื้อเที่ยงบางวัน ผมซื้อขนมหวานมา 7 ถุง และทานจนหมดครับ (ฟักทองแกงบวช 3 ถุง, ข้าวเหนียวเปียก 3 ถุง, เต้าส่วน 1 ถุง) บางวันทานเม็ดขนุน 26 เม็ด บางวันทานแยมหวานๆอย่างเดียว (75 กรัม) การทานของหวานมากนั้น ทำให้ผนังลำไส้บวม เป็นเหตุให้ท้องอืด แถมแสบท้อง แน่นหน้าอกและจุกที่คอด้วย
ผมเป็นเช่นนี้ตลอด 2 สัปดาห์ รู้สึกว่า ทำไมร่างกาย ท้องไส้....มันแปลกๆ จึงโทรไปเล่าอาการให้พี่อ้อยซึ่งเป็นพยาบาลฟัง เขาบอกให้ทานอาหารให้ถูกสัดส่วน โดยมื้อเช้าควรทานเนื้อหมูเท่ากับ 1 ฝ่ามือ และทานข้าว(แป้ง)ในปริมาณเท่ากับเนื้อหมู หลังจากนั้นไม่นาน ความอยากอาหารและขนมหวาน พร้อมกับอาการอื่นๆที่ตามมา เช่น ท้องอืดและแสบหน้าอกของผมก็ทุเลาลง
เพื่อนๆเคยแปลกใจไหมว่า ทำไมเราถึงรู้สึกหิวตอนบ่าย 3 โมง ทั้งที่ตอนเที่ยงเราเพิ่งทานอิ่ม นี่คือ สาเหตุหนึ่งครับ
ดังนั้นผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน ที่เริ่มหายจากอาการแสบท้อง ร้อนท้อง ปวดท้อง และอาการท้องอืด แน่นหน้าอก จุกที่คอทุเลาลง ผมขอแนะนำให้ทานอาหารปกติให้ถูกสัดส่วน (ไม่จำเป็นต้องทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย) แต่ยังคงเว้นอาหารแสลงเช่นเดิม
สัดส่วนในการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ
Note :
1. อาหารแต่ละมื้อ ควรห่างกันประมาณ 4 - 5 ชม.
2. ใน 2 – 3 คำแรก ควรทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ก่อนอาหารประเภทอื่น เพื่อกระตุ้นกระเพาะอาหารให้สร้างน้ำย่อย ว่า ถึงเวลาที่ต้องย่อยอาหารแล้ว
ผมเคยสังเกตตัวเองครับ หากมื้อใดทานแป้งเพียงอย่างเดียว ผมพบว่า ท้องอืด แน่นหน้าท้องช่วงบนบริเวณกระเพาะอาหาร เนื่องจากกระเพาะอาหารไม่ยอมทำงานบีบตัวเพื่อลำเลียงอาหารลงสู่ลำไส้เล็ก แต่พอได้ทานเนื้อหมูต้มไป ผมพบว่า ท้องยุบลงเพราะกระเพาะเริ่มย่อยอาหารแล้วครับ
3. ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด คำละ 2 – 3 นาที เพื่อเพิ่มพื้นผิว(Surface)ในการย่อย อาหารจึงย่อยได้ง่าย ทำให้ไม่แน่นท้อง ท้องไม่อืด และยังช่วยให้อาหารมีน้ำหนักเบา อาหารจึงเคลื่อนไปง่าย ท้องไม่ผูกโดยเฉพาะกากใยอาหาร (ผักใบเขียว) การเคี้ยวให้ละเอียดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดลำไส้
4. ควรทานมื้อเช้าให้มากกว่ามื้ออื่นๆ ดังที่คุณหมอท่านหนึ่ง (จำไม่ได้) เคยกล่าวว่า “หนักเช้า เบาเที่ยง เลี่ยงเย็น เว้นดึก”
5. สำหรับมื้อเย็น ควรทานน้ำตาล แป้งและโปรตีนเพียงเล็กน้อย เพื่อรองท้อง ไม่ให้หิวแสบท้องเท่านั้น ป้องกันอาการท้องอืด ในขณะเดียวกันก็ไม่กระตุ้นน้ำย่อยออกมามากเกินไป ลองคิดดูครับ หากเราทานมากในตอนเย็น น้ำย่อยน้ำกรดก็ออกมามากตาม แล้วเราจะมีอาการเช่นไรในขณะนอนหลับ คงร้อนท้อง แสบท้อง แสบหน้าอก สะดุ้งตื่นอย่างแน่นอน มื้อเย็นของผมมีข้าวเพียง 4 คำ ไก่น่องเล็ก 1 น่อง และผักต้ม 1 จานครับ
Tag : น้ำตาลทำให้อยากอาหาร, ใส่น้ำตาลทำให้อาหารขายดี, น้ำตาลทำให้อ้วน
เขียนโดย : รู้ไว้มีสุข (ขอสงวนลิขสิทธิ์ในการศึกษา)
การปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวัน เพื่อรักษาโรคกรดไหลย้อน
05.00
ตื่นนอน แล้วทานอาหารเช้าหลังจากนั้นไม่เกิน 2 ชั่วโมงครึ่ง
05.00 – 06.00
ทยอยดื่มน้ำเปล่า 1.00 – 1.25 ลิตร ระหว่างนั้นออกกำลังกายเบาๆประเภทยืดเส้น โยคะ (กายภาพบำบัด) ทำงานบ้าน เตรียมอาหารเช้า ต้มผักไว้ทาน
06.00 – 07.00
วิ่งออกกำลังกายให้ได้ความเร็ว 6 - 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีระยะทางประมาณ 2 - 3 กิโลเมตร หากจุกแน่นท้อง แนะนำให้เดิน
07.15 – 08.00
ทานอาหารเช้า เคี้ยวช้าๆให้ละเอียด คำละ 2 – 3 นาที
12.00 – 13.00
ทานอาหารกลางวัน ระหว่างวันไม่ควรงีบหลับ เพราะอาจทำให้ท้องอืดได้
16.00 – 17.30
ทานอาหารเย็น
21.00 – 22.00
รีบเข้านอน เพื่อไม่ให้หิวกลางดึก ควรนอนหลังทานอาหารเย็นประมาณ 4 – 5 ชม. เพราะผู้ป่วยบางคนอาการหนัก กระเพาะอาหารอาจจะยังย่อยอาหารไม่เสร็จ
ตื่นนอน แล้วทานอาหารเช้าหลังจากนั้นไม่เกิน 2 ชั่วโมงครึ่ง
05.00 – 06.00
ทยอยดื่มน้ำเปล่า 1.00 – 1.25 ลิตร ระหว่างนั้นออกกำลังกายเบาๆประเภทยืดเส้น โยคะ (กายภาพบำบัด) ทำงานบ้าน เตรียมอาหารเช้า ต้มผักไว้ทาน
06.00 – 07.00
วิ่งออกกำลังกายให้ได้ความเร็ว 6 - 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีระยะทางประมาณ 2 - 3 กิโลเมตร หากจุกแน่นท้อง แนะนำให้เดิน
07.15 – 08.00
ทานอาหารเช้า เคี้ยวช้าๆให้ละเอียด คำละ 2 – 3 นาที
12.00 – 13.00
ทานอาหารกลางวัน ระหว่างวันไม่ควรงีบหลับ เพราะอาจทำให้ท้องอืดได้
16.00 – 17.30
ทานอาหารเย็น
21.00 – 22.00
รีบเข้านอน เพื่อไม่ให้หิวกลางดึก ควรนอนหลังทานอาหารเย็นประมาณ 4 – 5 ชม. เพราะผู้ป่วยบางคนอาการหนัก กระเพาะอาหารอาจจะยังย่อยอาหารไม่เสร็จ
หลักการออกกำลังกายบรรเทาอาการกรดไหลย้อน
ควรเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้เคลื่อนไหวช่วงท้อง เพื่อกระตุ้นให้อวัยวะทางเดินอาหารทำงาน ลำเลียงอาหารเก่า ของเสียและแก๊สที่คั่งค้างอยู่ภายในให้ระบายออก จากประสบการณ์การรักษาตัวของผมซึ่งลองผิดลองถูกมาหลายวิธี ผมพบว่าผู้ที่รักษาตัวสามารถออกกำลังกายได้หลายวิธี ซึ่งมีหลักการคล้ายๆกัน ผู้ป่วยควรออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเองดังนี้
1. วิ่ง
ช่วงที่ผมป่วย ผมตื่นนอนตอนตี 5 หลังจากนั้นทยอยดื่มน้ำเปล่าไม่เย็น 1.0 – 1.5 ลิตร เวลา 6 โมงเช้า จึงออกไปวิ่ง การวิ่งช่วยลำไส้ให้มีการเคลื่อนไหว ทำให้อาหารเคลื่อนที่ จึงช่วยไล่ลมในท้องได้เป็นอย่างดี ขณะวิ่ง ผมมักจะเรอและผายลมหลายครั้ง หลังวิ่งจะรู้สึกได้เลยว่าท้องยุบลง
แต่ช่วงอาการหนัก (ที่คนไข้รู้สึกแสบท้อง ปวดเหมือนลำไส้ถูกบิด ท้องอืดรุนแรง จุกที่คอ แน่นหน้าอก) ผมวิ่งนานเท่าไรก็ไม่มีลมในท้องระบายออกมาเลย อย่างไรก็ตาม ผมก็อดทนวิ่ง และพบว่าลมเริ่มระบายออก ฉะนั้น การออกกำลังกายทำให้ร่างกายดีขึ้นจริง
หากวิ่งแล้วจุกแน่นท้อง เปลี่ยนมาเดินจะดีกว่า โดยพักสักครู่ 30 – 45 นาทีหลังรับประทานอาหาร แล้วจึงเดินเพื่อช่วยย่อยอาหาร
2. การแกว่งแขน ก็ช่วยไล่ลมได้เช่นกัน
3. ไม่ควรนั่งทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนอิริยาบถทุกๆ 20 นาที เพื่อให้ร่างกายเคลื่อนไหวไม่อยู่กับที่
4. แนะนำให้ทำงานบ้านด้วยตนเอง เช่น ถูบ้าน เช็ดรถ ล้างจาน ล้างรถ เช็ดรถ ฯลฯ การทำงานบ้านนอกจากไม่ทำให้เครียดแล้ว ยังทำให้ร่างกายมีการเคลื่อนไหวเป็นการออกกำลังกายที่ดีอีกด้วยครับ
5. การออกกำลังกายด้วยเครื่อง Skywalk, จักรยาน หรือ Stepper ก็ช่วยไล่ลมในท้องได้เช่นกัน
1. วิ่ง
ช่วงที่ผมป่วย ผมตื่นนอนตอนตี 5 หลังจากนั้นทยอยดื่มน้ำเปล่าไม่เย็น 1.0 – 1.5 ลิตร เวลา 6 โมงเช้า จึงออกไปวิ่ง การวิ่งช่วยลำไส้ให้มีการเคลื่อนไหว ทำให้อาหารเคลื่อนที่ จึงช่วยไล่ลมในท้องได้เป็นอย่างดี ขณะวิ่ง ผมมักจะเรอและผายลมหลายครั้ง หลังวิ่งจะรู้สึกได้เลยว่าท้องยุบลง
แต่ช่วงอาการหนัก (ที่คนไข้รู้สึกแสบท้อง ปวดเหมือนลำไส้ถูกบิด ท้องอืดรุนแรง จุกที่คอ แน่นหน้าอก) ผมวิ่งนานเท่าไรก็ไม่มีลมในท้องระบายออกมาเลย อย่างไรก็ตาม ผมก็อดทนวิ่ง และพบว่าลมเริ่มระบายออก ฉะนั้น การออกกำลังกายทำให้ร่างกายดีขึ้นจริง
หากวิ่งแล้วจุกแน่นท้อง เปลี่ยนมาเดินจะดีกว่า โดยพักสักครู่ 30 – 45 นาทีหลังรับประทานอาหาร แล้วจึงเดินเพื่อช่วยย่อยอาหาร
2. การแกว่งแขน ก็ช่วยไล่ลมได้เช่นกัน
3. ไม่ควรนั่งทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนอิริยาบถทุกๆ 20 นาที เพื่อให้ร่างกายเคลื่อนไหวไม่อยู่กับที่
4. แนะนำให้ทำงานบ้านด้วยตนเอง เช่น ถูบ้าน เช็ดรถ ล้างจาน ล้างรถ เช็ดรถ ฯลฯ การทำงานบ้านนอกจากไม่ทำให้เครียดแล้ว ยังทำให้ร่างกายมีการเคลื่อนไหวเป็นการออกกำลังกายที่ดีอีกด้วยครับ
5. การออกกำลังกายด้วยเครื่อง Skywalk, จักรยาน หรือ Stepper ก็ช่วยไล่ลมในท้องได้เช่นกัน
ท่าโยคะไล่ลม บรรเทาอาการแน่นท้อง ท้องอืด อาหารไม่ย่อย
ท่านี้ช่วยไล่ลมในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ท้องยุบลง ช่วยให้อาหารเคลื่อนที่ ท่าโยคะช่วยไล่ลมในช่องท้อง ==> http://www.healthcorners.com/2007/web_yoga/read_yoga.php?id=125
และ ลองอ่านบทความน่าสนใจเกี่ยวกับโรคลมในกระเพาะ ==> http://www.thuseen.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&Category=thuseencom&thispage=63&No=1281790
วิธีปฏิบัติ
- ยืดขึ้นช้าๆ อย่าเกร็ง ทำเท่าที่คุณจะทำได้ พยายามเหยียดแขนให้สุด เอียงตัวพอประมาณ ค้างไว้ 5 – 15 วินาที
- ทำครั้งละ 5 - 15 set
- หากทำแล้วมีอาการจุก หรือลมตีขึ้นบน ควรหยุดทำทันที
เวลาที่ควรปฏิบัติ
- ตื่นนอนตอนเช้า หลังดื่มน้ำ
- หลังอาหาร 2 ชม. เพราะกระเพาะอาหารจะย่อยอาหารเสร็จภายใน 2 ชั่วโมงสำหรับคนปกติ
- ก่อนนอน 15 นาที เพื่อไล่ลมส่วนเกิน บรรเทาอาการแน่นหน้าอก แสบร้อนในตอนกลางคืน
- หากตื่นมากลางดึก ท่าโยคะนี้และการแกว่งแขนก็ช่วยได้เช่นกัน
เขียนโดย : รู้ไว้มีสุข &&& Thank you : แซร่า ไอแวนเฮล
- ยืดขึ้นช้าๆ อย่าเกร็ง ทำเท่าที่คุณจะทำได้ พยายามเหยียดแขนให้สุด เอียงตัวพอประมาณ ค้างไว้ 5 – 15 วินาที
- ทำครั้งละ 5 - 15 set
- หากทำแล้วมีอาการจุก หรือลมตีขึ้นบน ควรหยุดทำทันที
เวลาที่ควรปฏิบัติ
- ตื่นนอนตอนเช้า หลังดื่มน้ำ
- หลังอาหาร 2 ชม. เพราะกระเพาะอาหารจะย่อยอาหารเสร็จภายใน 2 ชั่วโมงสำหรับคนปกติ
- ก่อนนอน 15 นาที เพื่อไล่ลมส่วนเกิน บรรเทาอาการแน่นหน้าอก แสบร้อนในตอนกลางคืน
- หากตื่นมากลางดึก ท่าโยคะนี้และการแกว่งแขนก็ช่วยได้เช่นกัน
เขียนโดย : รู้ไว้มีสุข &&& Thank you : แซร่า ไอแวนเฮล
COMMENT
เรื่องออกกำลังกาย
เรื่องออกกำลังกาย
|
|
|
|
|
|
|
COMMENT
เรื่องสัดส่วนในการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
เรื่องสัดส่วนในการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
|
----------------------------------------------------------
เรื่องราวกรดไหลย้อนไม่ได้จบเพียงเท่านี้
อ่านบทความรักษากรดไหลย้อนทั้ง 10 เรื่อง ได้ที่ (คลิก)
----------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------
No comments:
Post a Comment